วันเสาร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2552

Week 4 : Physical Layer

Composite signal - ในคลื่นซายน์จะมีค่าที่เท่าเดิมตลอด ซึ่งไม่เพียงพอต่อการใช้งาน จึงมีการผสมคลื่นรูปซายน์หลายๆแบบ โดยคลื่นที่นำมาผสมจะมีค่าแอมพลิจูด ความถี่ และเฟส ที่ต่างกัน แล้วเกิดคลื่นใหม่
Frequencies, Phases - เฟสของสัญญาณอะนาล็อกจะเป็นค่าที่แสดงถึงต่ำแหน่งต่างๆ ของคลื่นรูปซายน์ ถ้าเลื่อนแกน y ไปทางขวาหรือซ้ายจะเห็นถึงเฟสที่มีความแตกต่างกันไป
Bandwidth - ความแตกต่างระหว่างความถี่สูงและความถี่ต่ำที่อยุ่ในSignal

log2L = N
L - number of level
N - number of bits that can send in period
8 Kbps - 8 kilo bits per sec
8 KBps - 8 kilo byte per sec
1 byte - 8 bits

Baseband transmission - ใช้ความจุเต็มที่ของchannel ในการส่งข้อมูล
low-pass channel - ความถี่ต่ำสุดคือ 0
wide bandwidth - ความถี่สูงมาก
narrow bandwidth - ความถี่ไม่สูงมาก
Bandpass channel - ไม่ต้องเริ่มจาก 0

Mediumanalog bandwidth - hertz
digital bandwidth - bits per second

Nyquist Bit คือ การคำนวณอัตราการส่งบิตข้อมูลโดยที่ช่องสื่อสารไม่มีสัญญาณรบกวน ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นอัตราเร็วสูงสุดของการส่งข้อมูล จะใช้สมการ ดังนี้

RateBitrate = 2 * bandwidth * log2L

L = จำนวนระดับของสัญญาณที่ใช้แทนข้อมูล
Bandwidth = bandwidth ของช่องสื่อสาร

Nyquist Bit Rate คือ การคำนวณหาอัตราการส่งบิตข้อมูลภายในช่องสื่อสารที่มีสัญญาณรบกวน จะใช้สมการดังนี้

Bitrate = 2 * bandwidth * log2L

Capacity - เป็นความสามารถของการส่งข้อมูลภายในช่องสื่อสารที่มีสัญญาณรบกวน
Bandwidth - bandwidth ของช่องสื่อสาร
SNR (signal to noise ratio) - เป็นอัตราส่วนระหว่างพลังงานของสัญญาณที่ใช้ในการส่งข้อมูลกับพลังงานของสัญญาณรบกวน

วันเสาร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2552

Week 3 : Data and Signals

Physical media : Radio

Radio link types :


- Terrestrial microwave เป็นการส่งสัญญาณข้อมูลไปกับคลื่นไมโครเวฟเป็นการส่งสัญญาณข้อมูลแบบรับช่วงต่อ ๆ กันจากหอ(สถานี) ส่ง-รับสัญญาณหนึ่งไปยังอีกหอหนึ่ง


- Lan (Wifi ,Wimax e.g.)


- Wide-area (Cellular, e.g.)


- Satellite ดาวเทียม



Geosynchronous orbit

Data
- Analog data เช่น เสียงคน เมื่อคนพูดออกมาคลื่นอะนาล็อกจะถูกส่งออกไปในอากาศ เมื่อไมโครโฟนได้รับคลื่นนี้แล้ว ก็สามารถที่จะทำการแปลงคลื่นนี้ให้เป็นสัญญาณอะนาล็อก หรือสัญญาณดิจิตอลได้
-Digigtal data เช่น ข้อมูลที่ถูกจัดเก็ฐอยู่ในหน่วยความจำของคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลนี้จะอยู่ในรูปของ 0 หรือ 1

Periodic analog signals

Peridic singnal เป็นสัญญานที่มีลักษณะรูปแบบของสัญญาณซ้ำรูปแบบเดิมทุกคาบเวลา
Aperiodic signal เป็นสัญญาณที่มีการเปลี่ยนแปลงได้โดยไม่ต้องมีรูปแบบหรือจำเป็นต้องเป็นลูกคลื่น


Analog signal

- Sine wave คลื่นรูปซาย์นั้นจะเริ่มจากค่าของสัญญาณที่เป็น 0 แล้วค่อยๆ เพิ่มขึ้นตามระยะเวลาจนถึงจุดสูงสุด จากนั้นจะเริ่มลดลงมาจนถึง 0 อีกครั้งหนึ่ง และจะลดลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงจุดต่ำสุดแล้วจึงจะเพิ่มขึ้นจนมาถึง 0 อีกครั้ง
- Time and Frequency Domain
- Time-domain กราฟที่สามารถแสดงถึงค่าของแอมพลิจูด ความถี่และเฟส
- Frequency-domain กราฟที่แสดงถึงแอมพลิจูดและความถี่

วันเสาร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2552

Week 2 : Introduction & Network Models

Protocols and standards

Protocols ข้อกำหนดหรือกฎของการสื่อสารข้อมูล
- Syntax หมายถึง โครงสร้าง หรือ รูปแบบข้อมูล เช่น กำนหดว่าใน 8 บิตแรกจะหมายถึง address ของผู้ส่ง อีก 8 บิตถัดมา หมายถึง address ผู้รับ ส่วนที่เหลือจึงเป็นข้อมูลจริงๆ
- Semantics หมายถึง ความหมายของข้อมูลที่ได้รับข้อมูลนั้นๆมา จะต้องแปลความหมายของบิตเหล่านั้นก่อน
- Timing หมายถึง ข้อกำหนดเวลาในการรับและส่งข้อมูล เนื่องจาก entity แต่ละตัวนั้นมาความเร็วในการรับส่งที่ไม่เท่ากัน

Standards
- Importance
-Types of standard
- De-facto standards
- Formal standards

Major Standards Bodies
- ISO Based in Geneva, Switzerland (www.iso.ch)
- ITU-T Based in Geneva, Switzerland (www.itu.int)
- ANSI (www.ansi.org)
- IEEE (standards.ieee.org)
- IETF (www.ietf.org)

Layered Tasks
แต่ละชั้นของการทำงานนั้นจะมีหน้าที่ที่แตกต่างกันออกไป ที่ต้นทางจะต้องทำงานจากระดับชั้นบนสุดไปยังระดับชั้นล่างสุด ส่วนที่ปลายทางจะทำงานจากระดับชั้นล่างสุดไปยังระดับชั้นบนสุด โดยที่ในแต่ละระบชั้นจะต้องทำให้เสร็จก่อน จำจะสามารถทำงานในระดับชั้นถัดไปได้

The OSI model
แบบจำลอง OSI ได้ถูกออกแบบมาโดยองค์กร ISO เพื่อเป็นมาตรฐานในการพัฒนาเครือข่ายการสื่อสารข้อมูลและคอมพิวเตอร์ โดยจะแบ่งโครสร้างของเครือข่ายเป็น layer และกำหนดการทำงานของแต่ละ layer
- Application
- Presentation
- Session
- Transport
- Network
- Data link
- Physical

วันพฤหัสบดีที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2552

Chapter 1 Introduction

Introduction

Datacom Basics
การสื่อสารข้อมูล(Data Communications)

คือ การโอนถ่าย หรือ แลกเปลี่ยนข้อมูล (Transmission) กันระหว่างต้นทาง และ ปลายทางโดยผ่าน
ทางอุปกรณ์อิเลคทรอนิกส์หรือคอมพิวเตอร์ ด้านการมอง

การสื่อสารโทรคมนาคม(Telecommunication)
คือ การสื่อสารข้อมูลสารสนเทศโดยวิธีการทางอิเลคทรอนิกส์และโดยทั่วไปจะค่อนข้างไกล
จะส่งข้อมูลที่เป็นในรูปแบบเสียง (Voice) และ รูปแบบข้อมูลที่ภาพเคลื่อนไหว (Video)

Data Communication และ Telecommunication ปัจจุบันรวมกันเรียกว่า Broadband Communications


Network Types


Local Area Networks (LANs)
เป็นการใช้งานเครือข่ายในกลุ่มเล็กๆ เชื่อมต่อเครื่องคอมพิวเตอร์ภายในกลุ่ม

Backbone Networks
เป็นเครือข่ายที่รวมเอา ระบบLANหลายๆระบบเข้าด้วยกัน

Metropolitan Area Networks (MAN)
เป็นเครือข่ายที่นำเอา LANs และ BNs มาใช้ร่วมกัน

Wide Area Networks (WANs)
การเอาระบบMANมารวม มีระยะสัญญาณที่กว้าง

5 องค์ประกอบของ การสื่อสารข้อมูล

1.ผู้สื่อสาร

2.ผู้รับสาร

3.สื่อกลาง

4.โปโตคอล

5.ข้อมูล,ข้อความ


Data Flow ประกอบด้วย 3 อย่างนี้

1.Simplex สื่อสารแบบทางเดียว
เป็นการสื่อสารโดยมีผู้สื่อสารเพียงทางเดียวไม่สามารถตอบกลับได้ เช่น โทรทัศน์

2.Half-duplex
เป็นการสื่อสารที่สามรถตอบกลับได้ แต่ไม่สามารถส่งและรับพร้อมกันได้ในเวลาเดียวกัน เช่น วิทยุสื่อสาร

3.Full-duplex
เป็นการสื่อสารที่ ผู้ส่งและผู้รับสามารถโต้ตอบได้ในเวลาเดียวกัน เช่น โทรศัพท์


Network คือ ระบบการสื่อสารระหว่างคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ 2 เครื่องขึ้นไป สะดวกต่อการใช้ข้อมูล, โปรแกรม หรือเครื่องพิมพ์ร่วมกัน


Types of connections
1.Point-to-point คือ จาก station นึงเชื่อมไปยังอีก station นึง
2.Multipoint คือ จาก mainframe เชื่อมไป station ได้มากกว่า 1 station



Networks มีรูปแบบการเชื่อมต่ออยู่ 5 แบบ


(Mesh Network)


1.Mash เป็นระบบที่ป้องกันการผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นกับระบบได้ดีที่สุด เพราะเดินใช้สาย Cable ไปเชื่อม ต่อกับ Station ทุก Station ถ้าสายจาก Station ใดเกิดมีปัญหาขึ้นก็จะยังใช้สายอื่นที่เหลืออีกได้ ระบบนี้ยากต่อการเดินสาย

(Star Network)

2.Star แบบสตาร์ จะคล้ายกับดาวกระจาย มีอุปกรณ์ประเภท Hub หรือ Switch เป็นศูนย์กลางการเชื่อมต่อ มีข้อดีที่เวลามีสายเส้นใดเส้นหนึ่งหลุดหรือเสียก็ยังทำงานได้อยู่ และถ้าต้องการเพิ่มเครื่องคอมพิวเตอร์เข้าไปในเครือข่ายก็ทำได้ทันทีไม่ต้องหยุดการทำงานของเครือข่ายก่อน


(Bus Network)


3.Bus แบบBus เป็นการเชื่อมต่อแบบอนุกรม โดยใช้สายCableเส้นยาวเส้นเดียว มีข้อเสียคือเมื่อคอมพิวเตอร์ตัวใดตัวหนึ่งมีปัญหา ก็จะทำให้เครือข่ายรวน และเมื่อมีการเพิ่มคอมพิวเตอร์เข้าไปในเครือข่าย จะต้องหยุดการใช้งานของระบบเครือข่ายก่อน เพื่อตัดต่อสายเข้าเครื่องใหม่ ข้อดีคือโครงสร้างแบบBusนี้ไม่ต้องมีอุปกรณ์อย่าง Hub หรือ Switch







(Ring Network)

4.Ring แบบริงค์ จะมีการเชื่อมต่อเข้ากับสายCableเส้นเดียวเป็นวงแหวน การส่งข้อมูลจะไปทิศทางเดียวกันตลอดโดยผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องนึงไปยังเครื่องนึง ถ้ามันไม่ตรงกับผู้รับตามที่เครื่องเริ่มแรกกำหนดมา มันก็จะส่งผ่านไปยังเครื่องถัดไป จนกว่าจะถึงเครื่องสุดท้ายถ้าตรงกับเครื่องนั้นมันก็จะรับไว้ จะไม่ส่งต่อ แบบนี้มีข้อเสียเมื่อสายช่วงใดช่วงหนึ่งขาดจะทำให้ทั้งระบบใช้งานไม่ได้




(Hybrid Network)

5.Hybrid เป็นการรวมเอาระบบเครือข่ายของระบบ Bus, ระบบ Ring และ ระบบ Star มาเชื่อมต่อเข้าด้วยกัน



Internet

การต่อแบบ Dialup via modem ความเร็วอินเตอร์เน็ต แค่ 56 Kbps และไม่สามารถคุยโทรศัพท์ได้ขณะที่ต่อ อินเตอร์เน็ตอยู่แบบ ADSL นั้น ความเร็วอินเตอร์เน็ตสูงสูดในตอนนี้ 8 Mbps สามารถใช้โทรศัพท์ได้ระหว่างที่ใช้งานอินเตอร์เน็ตอยู่



Intranet Vs. Extranet

Intranet ไม่อนุญาตให้คนนอกองกรณ์เข้ามาร่วมใช้ ใช้ได้แค่คนในองกรณ์เท่านั้น

Extranet อนุญาตให้คนนอกเข้ามาร่วมใช้ได้ แต่อาจจะต้องสมัครเป็นสมาชิก



ขอขอบคุณเจ้าของเว็ปรูปภาพที่นำมาอ้างอิงค์ประกอบครับ


http://www.thaigoodview.com/library/contest2551/tech04/20/mainmenu.html


visual.merriam-webster.com/.../bus-network.php


www.geocities.com/seeis_224/Internet1.htm